วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

[SS-spring]Suzuya route

จบบทคานาตะไปแล้ว เราก็เลยเล่นบทสุซุยะต่อล่ะค่ะ แล้วก็เล่นจบแล้้วด้วย
เพราะข้ามเนื้อเรื่องได้เยอะน่ะค่ะ (เนื้อเรื่องส่วนหลักๆจะคล้ายๆกับของคานาตะ)
แปลส่วนบทท้ายๆไปแล้วด้วย แต่ว่า.. โน้ตบุ๊คเราดันเจ๊งค่ะ T^T
เพราะงั้นเลยเล่าไม่ได้ 

ยังไงก็ตาม ตอนนี้ บอกไ้ด้แค่ว่า... เราเปลี่ยนใจแล้วค่าาาาา!!!! ^//^

เรายกใจไปให้สุซุยะคุงแทนคานาตะไปแล้วล่ะค่ะ ฮะๆๆๆ
ก็สุซุยะคุงอ่ะน่ารักสุดๆเลย ทั้งอบอุ่น ใจดี อ่อนโยน เป็นสุภาพบุรุษ มี็แอบขี้หึงด้วย ฮะๆ
เล่นไปแล้วก็แอบเขิน ใจเต้นเป็นพักๆ ฉากจูบก็ได้อารมณ์กว่าคานาตะล่ะ
อ๊ะ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบคานาตะแล้วนะ ยังชอบพ่อหนุ่มคนนั้นอยู่ค่ะ
ก็แค่ลดความชอบลงไปให้สุซุยะเยอะกว่าเท่่านั้น อิอิ
ยังไงคานาตะก็ได้เปรียบตรงคาแรกเตอร์แมนๆเท่ห์ๆ กับเสียงพากษ์นี่ล่ะนะ
เพราะเราชอบสุงิตะซังพากษ์อ่ะ >//< (ชอบตั้งตาคุณพี่ท่านพากษ์กินซังนี่ล่ะ)

แอบเอาภาพเว้นท์แรกของสุซุยะ(ที่ยังเหลืออยู่ในเอนทรี่draft)มาแปะให้
ที่ตั้งใจจะเอารูปนี้ให้ดูเพราะจะให้ดูสองหนุ่มที่อยู่่ด้านขวาของรูปค่ะ เหอๆๆ
พวกเขาก็คือเหล่าอาจารย์ในจักรราศีค่า จำได้ไหมเอ่ย?
อาจารยผมเขียวนั่น หนุ่มราศีตุลย์ค่ะ พากษ์โดย อิชิดะ อากิระ(ราศีเรา และคนพากษ์คนโปรด)
ส่วนพ่อหนุ่มหัวส้มนี่.. หนุ่มราศีสิงห์ค่ะ คนพากษ์ก็ ไดสุเกะ คิชิโอะ

เนื้อเรื่องตอนนี้จะประมาณว่าสุซุยะไปช่วยคุณแม่ครัวทำอาหารน่ะ
แล้วสุซุยะก็จะแอบโดนคุณแม่ครัวล้อว่าเราเป็นแฟนหรอ ก็จะปฏิเสธไปนะ แต่ก็แอบเขินกันทั้งคู่

 *สปอยส์ที่เราเอามาลงเป็นแค่บางเหตุการณ์นะคะ*


เน่... ถ้าโยกลับไปแล้ว จะเหงาจริงๆสินะ
เธอน่ะ... ชอบโยหรอ?
เราก็ดันตอบไปว่าแน่นอน (ก็คงคิดว่าชอบแบบเพื่อนนั่นล่ะ)
ชั้นน่ะ... แทนที่โยไม่ได้หรอ?
เราก็ยังไม่เข้าใจ โยก็คือโย สุซุยะก็คือสุซุยะ จะแทนที่กันได้ไง
ทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนสมัยเด็กคนสำคัญทั้งคู่
ไม่ใช่อย่างนั้น... มองชั้น ในฐานะของผู้ชายคนหนึ่งไม่ได้หรอ
“จากนี้ไป ไม่อยากจะให้เธอมองผู้ชายคนอื่น” (เริ่มแอบขึ้นเสียงค่ะ เหอๆๆ
แหมมม เมื่อก่อนนะทำตัวเป็นผู้ชายที่ดี เคยบอกเราตอนที่ได้รับจม.รัก
แล้วเราถามว่า ถ้าเราคบกับใครสุซุยะจะคิดยังไง
ตอนนั้นเขาจะบอกว่าไม่ค่อยชอบหรอกนะ แต่ถ้าเป็นคนที่เธอเลือกก็จะคอยให้กำลังใจ
เพราะเขาหวังแค่ต้องการให้เรามีความสุข)
แล้วสุซุยะก็จะบอกว่า จริงๆแล้วเขาคิดจะไม่บอกเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
แต่ว่า... ตั้งแต่ที่เห็นเราเอาแต่พูดถึงเรื่องโยอย่างเดียว ทำให้เขาเริ่มจะทนไม่ได้
อย่าคิดถึงแต่เรื่องโย แล้วอยากให้มองชั้น.. ไม่ใช่ในฐานะของเพื่อนสมัยเด็กคนหนึ่ง แต่เป็นตัวตนของชั้น
สุซุยะจะจับมือเราจนเราเริ่มเจ็บและขอให้ปล่อย
ขอโทษ... จะไม่ปล่อยหรอก ชั้นน่ะ.. อิจฉา.. ที่โยสามารถบอกความรู้สึกตัวเองออกไปได้ตรงๆ
ตลอดมา... ชั้นพยายามปิดบังความรู้สึกของตัวเองเอาไว้
เพราะกลัวว่าความสัมพันธ์ของพวกเราสามคนจะพังทลายไป
แต่ว่า.. ตั้งแต่โยเข้ามา ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ค่อยๆเปลี่ยนไป โยค่อยๆก้าวเข้ามาอยู่ในใจเธอ
ตอนนั้นก็รู้สึกว่า การที่ชายคนอื่นนอกจากชั้นจะเข้ามาอยู่เต็มหัวใจเธอนั่นน่ะ.. ชั้นทนไม่ได้
“ถึงอย่างนั้น ก็ยังพยายามไม่สงสัยถึงความรู้สึกตัวเอง
และคิดว่านั่นเป็นเพราะความชอบแบบพ่อแม่หรือเพื่อนสมัยเด็ก”
“แต่ว่าพอแล้ว.. เข้าใจแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้.. อยากจะให้เธอมาอยู่ข้างๆในฐานะผู้ชายคนนึง”
“ไม่อยากเห็นชายคนอื่นได้เธอไปต่อหน้า”
“พอคิดแบบนั้นแล้ว.. ก็ไม่สามารถกดความรู้สึกนี้ได้อีกแล้ว”
พอเราถามว่าทำไมถึงพยายามปิดความรู้สึกนั้นไว้จนถึงตอนนี้
สุซุยะก็ตอบว่าเพราะไม่อยากสร้างความลำบากให้เรา
“ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็สร้างความลำบากให้อยู่ดี
แล้วสุซุยะก็จะเริ่มบอกความรู้สึกจริงๆของตนว่าตนเองหึงพวกโยกับคานาตะ
แต่ก็รู้สึกว่าดีแล้ว เพราะถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องทั้งหมดนั้น
เขาก็คงจะปิดบังความรู้สึกตนเองเอาไว้ตลอดไป แต่ตอนนี้เขาไม่อยากโกหกความรู้สึกตัวเองอีกแล้ว
“ชั้น.. ชอบเธอ
เราจะบอกไปว่ายังไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง สุซุยะก็จะยอมเข้าใจ
เขาจะขอโทษที่ทำให้เราทำหน้าแบบนั้น ทั้งที่เขาควรจะทำให้เธอไม่เศร้า
แต่ว่า เขาก็ไม่เสียใจในการกระทำครั้งนี้เพราะเขาอยากบอกความรู้สึกตัวเองมาตลอด
แล้วตอนนั้นเสียงคานาตะเรียกตามหาพวกเราก็มาขัด

หลังจากวันนั้น สุซุยะกับเราต่างก็จะทำตัวแปลกไปทั้งคู่ทำให้โยกับคานาตะสังเกตและถามเรา
แต่เราก็ปฏิเสธไป วันต่อมา ตอนเย็น ขณะกำลังเดินอยู่เราก็ล้ม เท้าเคล็ด
แล้วเราก็จะนึกถึงสุซุยะว่าปกติเวลาแบบนี้สุซุยะก็จะมาช่วยเราน่ะนะ
แล้วอยู่ๆสุซุยะก็ดันโผล่มาจริงๆทำเอาเราตกใจ แล้วเขาก็จะแบกเราขึ้นหลัง
แต่เราจะเขินไม่ยอม แต่สุดท้ายก็ต้องยอม
(เป็นเหตุการณ์ที่หวนนึกถึงเว้นท์ของคานาตะคุงเลยแฮะ
ต่างกันตรงที่อันนี้เกิดหลังจากสารภาพรักไปแล้วน่ะนะ เหอๆๆ)
จะเดินช้าๆนะ  ถ้าเจ็บก็บอกล่ะ
เราก็จะถามว่าทำไมรู้ว่าเราอยู่ที่นี่ สุซุยะก็จะบอกว่าเปล่าหรอก
ก็แค่คิดว่าถ้ามีที่นี่อาจจะได้เจอเราโดยบังเอิญได้ ก็เลยมา
“เป็นแบบนี้เสมอเลยตั้งแต่เด็กแล้ว ถึงชั้นจะยังไม่ทันได้พูดอะไร แต่ไม่นานสุซุยะก็จะรีบมาช่วย”
เรื่องนั้นมันก็แน่อยู่แล้ว... ก็เพื่อนสมัยเด็กนี่นะ
“ขอโทษนะ... เพราะชั้นพูดแบบนั้นไป ทำให้เธอเสียใจ”
“ชั้นน่ะ จะเป็นเพื่อนสมัยเด็กของเธอตลอดไป เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงนะ”
“ตั้งแต่ตอนนี้และต่อจากนี้ไป เรื่องนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง.. จะเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่สำคัญตลอดไป..นะ”
และเพราะคำพูดนั้นทำให้เรารู้สึกเจ็บและเข้าใจความรู้สึกตัวเอง จึงบอกว่าชอบสุซุยะ
อยู่ข้างๆตลอดไป...ได้หรอ? ไม่ใช่ในฐานะเพื่อนสมัยเด็ก.. แต่ในฐานะแฟน
แล้วสุซุยะก็จะบอกว่า เขาน่ะอยากจะอยู่ข้างๆเราตลอดไป
แต่แล้วก็คิดได้ว่าเพราะเป็นเพียงเพื่อนสมัยเด็ก สักวันนึง เราก็จะมีชายคนอื่นมาอยู่ข้างๆ
และคนๆนั้นก็จะเป็นคนที่คอยปกป้องเรา พอคิดแบบนั้นก็กลัวมาก
เพราะไม่อยากจะให้เราถูกใครช่วงชิงไป เพราะงั้นก็เลยบอกความรู้สึกของตัวเองออกไป
จะให้ความสำคัญกับเธอมากกว่าใคร แล้วก็... จะทำให้เธอมีรอยยิ้มตลอดไป
เราก็จะบอกว่าเราน่ะได้รับทั้งหมดนั้นมาแล้วล่ะ
อย่างนั้นหรอ? อ้อแล้วก็... ชั้นน่ะ.. บางที..อาจจะเป็นคนขี้หึงนะ
อ้า... เพราะว่ารักมากขนาดนี้ก็ต้องขี้หึงล่ะ.. เพราะงั้น.. โปรดเตรียมใจไว้ด้วยล่ะ”
“จากนี้ไป... ขอฝากตัวด้วยนะครับ

วันนิทรรศการเราก็ไปหาสุซุยะในห้องตามนัดหลังงาน แล้วเราก็จะจูบกัน
(กรี๊ดเว้นท์นี้อ่ะ แบบว่าทำเราเขินจริงๆ สุซุยะน่ารักอ่า อ่อนหวาน อ่อนโยน แอบโรแมนติกจริงๆ)

วันต่อมา คราวนี้สุซุยะเริ่มทำตัวเป็นเจ้าของเรามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฮะๆๆ
เริ่มจากพอโยมาพูดหยอกเราเหมือนเดิมว่าถ้าเขาล้มให้เราเป็นคนช่วยพยุงเขา
สุซุยะก็เข้ามาแย้งและบอกว่าถ้าล้มเขาจะช่วยพยุงเอง
และห้ามโยพูดหยอกล้อเล่นแบบนี้อีก(ทำเอาโยตกใจและดูจะกลัวนิดๆ )
ตามด้วยคานาตะที่มาจิ้มเราเพราะเรา ก็โดนสุซุยะเขกหัวใส่
ทั้งสองคนเลยเริ่มสงสัยเพราะปกติเวลาพวกเขาทำแบบนั้นไม่เห็นสุซุยะจะทำท่าทีแบบนี้เลย
แต่มาคราวนี้กลับว่า แถมแอบน่ากลัวด้วยอ่ะ
อย่างว่าล่ะนะ คนที่ปกติไม่โกรธ เวลาโกรธจะดูน่ากลัว
(แต่คานาตะกลับไม่กลัวแฮะ มีโต้กลับด้วย ฮะๆๆ)
เน่..โย.. ไม่คิดว่าพวกนั้นดูแปลกๆไปหรอ
ว่าแล้วชั้นไม่ได้คิดไปเองสินะ ถ้าคานาตะที่ความรู้สึกช้ายังพูดแบบนั้น
จริงๆเลยนะ!! โยนาย ชอบพูดอะไรเกินความจำเป็นอยู่เรื่อย!!
ก็มันเป็นเรื่องจริงนี่นา
แล้วพวกนั้นก็ปรึกษากันต่อว่า
ปกติสุซุยะจะไม่เห็นพูดอะไรเลยเวลาที่พวกเขาทำแบบนั้นแต่ทำไมวันนี้
แล้วทันใดนั้นพวกโยและคานาตะก็นึกอะไรได้
อ๋า... พวกนาย... เป็นไปไม่ได้น่า
“เป็นไปไม่ได้เนี่ย อะไรหรอ?” และตอนนั้นสุซุยะก็จับมือเราดึงไปด้านหลัง
โกหกใช่มั๊ย” ทั้งสองพูดพร้อมกัน
ไม่ใช่เรื่องโกหกหรอก... พวกเราคบกัน
เอ๋!?!!
คานาตะจะไม่ยอมเชื่อและหันมาถามเรา
นั่นมันอะไรกันน่ะ ทำอย่างกับชั้นพูดโกหกอย่างนั้นล่ะ
สุซุยะน่ะเงียบไปเลย!” แล้วคานาตะก็จะถามเราอีกรอบ เราก็จะพยักหน้า โดยมีสุซุยะมองมาอย่างดีใจ
โอ่ย... หน้าแดงแล้วนะ.. แบบนี้หมายความว่า
เรื่องจริงสินะ
ก็บอกแล้วนี่นะ เพราะงั้นอย่าเข้ามายุ่มย่ามอีกต่อไปนะ
แล้วโยก็จะบอกว่าว่าถ้าเรามีความสุขก็โอเคแล้ว แม้จะเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ใช่เขา
จากนั้นสุซุยะก็จะย้ำโยอีกรอบว่า เพราะอย่างนั้นล่ะ อย่ามาเกาะติดเราอีกนะ
โยก็จะรับคำอย่างหวั่นๆนิดๆ (แหมมม เพราะอีกฝ่ายเป็นสุซุยะนี่นะ
จะทำอะไรก็ต้องระวังไว้หน่อย เห็นยิ้มๆแบบนี้แต่แอบน่ากลัว ฮะๆๆ)
หวาว รีบขู่โดยทันทีเชียวนะ” (อย่างที่บอก โยน่ะกลัวสุซุยะไปแล้ว
แต่คานาตะยังมีความกล้าอยู่นะ ถึงปากจะบอกว่าน่ากลัวแต่ก็ยังโต้กลับ
สงสัยเพราะเป็นเพื่อนสมัยเด็กเนี่ยล่ะน้า ฮะๆ)
พอเราถามสุซุยะก็ตอบว่า “ก็ชั้นเป็นแฟนเธอนี่นา”
“รีบแสดงความชื่นชมคนรักเชียวนะ อ้า..ไม่ไหวๆ” (คานาตะแอบกัดใหญ่เลยแฮะ ฮะๆๆๆ)
แต่ว่า.. สุซุยะที่ดูมีความสุขขนาดนี้ เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกเลยนะ
ชั้นก็ด้วย.. ว่าแต่นะ.. สุซุยะน่ะตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ได้แต่ของดีไปอยู่เรื่อยเลยนะ
แล้วคานาตะก็จะคว้าข้อมือเราบอกว่าปล่อยคนแบบนี้ไว้แล้วไปกินข้าวกันเถอะ แต่ก็โดนสุซุยะมาขวาง
อย่ามาแตะแฟนของคนอื่นได้ไหม?
ก็บอกแล้วว่า... รอยยิ้มน่ากลัวนะ
แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรอ?  เพราะกำลังข่มขู่อยู่นี่นา
ผมน่ะไม่ใช่คนบ้าๆ ไม่ทำเรื่องไม่รู้จักคิดหรอกน่า
สมกับเป็นโย.. เข้าใจดีแล้วสินะ
คานาตะ... สุซุยะน่ากลัวจัง
เห็นด้วย
หืม? มีอะไรหรอ
“มะ... ไม่มีอะไร” ทั้งสองคนตอบด้วยท่าทางกับน้ำเสียงกลัวๆ ฮะๆๆ แล้วทั้งสองก็ยินดีให้กับสุซุยะ

 แล้วก็ไปฉากแต่งงาน 

จบแล้วค่า~

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น